เนื่องด้วยวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดชเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 พรรษาในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559 หน่วยงานภาครัฐได้นำบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมาแสดงเพื่อเทิดพระเกียรติ สถาบันไทยศึกษาฯ จึงใช้โอกาสมหามงคลนี้นำความรู้เรื่องบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกมาเผยแพร่ต่อไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกโดยทรงนำเรื่องมาจากเมื่อ พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสดับพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์(วิน ธมฺมสาโร มหาเถร) วัดราชผาติการาม เรื่องพระมหาชนกเสด็จทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ในกรุงมิถิลา เรื่องมีใจความว่า ที่ทางเข้าสวนหลวงมีต้นมะม่วง 2 ต้น ต้นหนึ่งมีผล อีกต้นหนึ่งไม่มีผล ทรงลิ้มรสมะม่วงอันโอชา แล้วเสด็จเยี่ยมอุทยาน เมื่อเสด็จกลับจากสวนหลวงทอดพระเนตรเห็นมะม่วงที่มีรสดี ถูกข้าราชบริพารดึงทึ้งจนโค่นลง ส่วนต้นที่ไม่มีลูกก็ยังคงตั้งตระหง่าน …
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัย จึงทรงค้นเรื่องพระมหาชนกในพระไตรปิฎก (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่มที่ 4 ภาคที่ 2) และทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษ ตรงจากมหาชนกชาดก ตั้งแต่ต้นเรื่องโดยทรงดัดแปลงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
เนื้อหาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ได้ทรงดัดแปลงจากมหาชนกชาดกนั้นมีหลายประการ เช่น การตัดทอนเรื่องให้กระชับ การเพิ่มเติมเนื้อความ การเปลี่ยนตอนจบของเรื่อง การเปลี่ยนคำบาลี-สันสกฤตให้เป็นคำไทยสามัญ การสร้างคำใหม่ทั้งคำไทยและคำต่างประเทศ และการคัดภาษาบาลี ลักษณะการดัดแปลงหลายประการนี้ อาจกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนตอนจบของเรื่องที่พระมหาชนกออกบวชในตอนท้ายเรื่องในมหาชนกชาดก มาเป็นการตั้งปูทะเลย์มหาวิชชาลัยในพระราชนิพนธ์มหาชนกเป็นการดัดแปลงที่เด่นชัดประการหนึ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อสื่อสาระธรรมให้เหมาะสมกับบริบทสังคมปัจจุบัน
เมื่อพิจารณาระยะเวลาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มค้นคว้าจนกระทั่งทรงพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกสมบูรณ์ จะพบว่าเป็นระยะเวลายาวนานถึงเกือบยี่สิบปี ระยะเวลาที่ยาวนานในการพระราชนิพนธ์นั้นนอกจากจะมีเหตุมาจากการประกอบพระราชกรณียกิจอื่นๆหลายประการแล้ว ยังมีเหตุมาจากความเอาพระทัยใส่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชนิพนธ์และทรงแก้ไขให้พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกมีความสมบูรณ์มากที่สุด พระราชนิพนธ์เรื่องนี้จึงเป็น
“หนังสือเรื่องนี้เป็นที่รักของข้าพเจ้า….หนังสือเล่มนี้ไม่มีที่เทียมและก็ท่านผู้เป็นศิลปิน ผู้ที่เป็นกรรมการ และผู้ที่สนับสนุน ย่อมจะทราบดีว่างานที่เราทำนั้นคุ้มค่าแค่ไหน”
(พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสจัดแสดงนิทรรศการภาพเขียนเรื่องพระมหาชนก ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา รโหฐาน พระราชวังดุสิต วันที่ 28 มีนาคม 2539 อ้างใน รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. จากเก่าสู่ใหม่ วรรณศิลป์ไทยไม่สิ้นสูญ .กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยศรีนครินทร-วิโรฒ, 2552 หน้า 74.)
หลังจากการเผยแพร่พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ. 2539 เกิดการผลิตซ้ำเรื่องเล่าพระมหาชนกหลากหลายสำนวน หลากหลายรูปแบบ อาจกล่าวได้ว่าพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีการผลิตซ้ำมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับพระราชนิพนธ์เรื่องอื่นๆ ทั้งนี้อาจจะเป็นปัจจัยมาจากที่มาของบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกที่เป็นทศชาดกอันเป็นเรื่องเล่าทางพุทธศาสนาที่มีการรับรู้อย่างแพร่หลายในสังคมวัฒนธรรมไทย การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนำมหาชนกชาดกมาดัดแปลงเป็นบทพระราชนิพนธ์จึงทำให้ชาดกเรื่องนี้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างยิ่งขึ้น
แม้จะไม่สามารถระบุจำนวนได้อย่างแน่ชัดว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา มีเรื่องเล่าที่ผลิตซ้ำจากบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกทั้งสิ้นกี่สำนวน แต่ก็อาจจะกล่าวได้ว่าเรื่องเล่าเกือบทุกเรื่องมีวัตถุประสงค์ในการผลิตซ้ำเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะพระมหากษัตริย์ผู้มีพระอัจฉริยภาพด้านภาษา และเพื่อเผยแพร่คำสอนเรื่อง“ความเพียรที่บริสุทธิ์”อันเป็นสาระธรรมที่ปรากฏอย่างเด่นชัดในพระราชนิพนธ์เรื่องนี้
รายการอ้างอิง
รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. จากเก่าสู่ใหม่ วรรณศิลป์ไทยไม่สิ้นสูญ .กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2552.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เรื่องพระมหาชนก. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. 2539.
(ตีพิมพ์ใน สารไทยศึกษา ปีที่ 17 ฉบับที่ 3 เมษายน-มิถุนายน 2559)